สรุปสิ่งที่ได้ทำในปี 2019

มาถึงสิ้นปี 2019 แล้ว ก็ขอสรุปสิ่งที่ได้ทำเอาไว้ทบทวนตัวเอง ปีนี้เป็นปีที่เกิดเรื่องราวต่างๆ มากมายเหลือเกิน มากซะจนมั่นใจว่าจะต้องลืมเหตุการณ์อะไรไปหลายเหตุการณ์แน่นอนในปีนี้ ตอนนี้ความจำผมยาว 3 เดือน อย่างไรก็ดีโชคดีที่จดไดอะรี่เอาเลย เลยยังพอจำได้ว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง เขียนบันทึกไว้ขำๆ เอาไว้ให้ตัวเองมาทบทวน


ด้านการทำงาน


Credit OK

ปี 2019 เป็นปีที่บริษัทเติบโตขึ้นมาก ทั้งเรื่องคน เรามีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาจนต้องย้ายออฟฟิศตอนต้นปี มาถึงปลายปีออฟฟิศใกล้จะเต็มอีกละ แล้วสมาชิกเก่าของเราก็เก่งขึ้นกันมากๆ ทั้งด้านงาน บริษัทได้ลูกค้า และมีการนำโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นไปใช้งานจริงแล้วในที่สุด วู้ฮู้วว แล้วเราจะยังขยายกันต่อไปอีก เส้นทางต่อไปจะเป็นอย่างไร จะต้องเข้มข้นขนาดไหน ต้องรอดูกันต่อไป

สำหรับทางฝั่งเทคโนโลยีที่ผมดูอยู่ ปีนี้เราก็ย้ายระบบขึ้นมา Deploy บน Kubernetes ละ ซึ่งตอนหลังนี่ก็ขยับขึ้นอีก Level มาใช้ Cloud Run ไม่ต้องมี Server แล้ว ง่ายขึ้นไปอีก ประหยัดเข้าไปอีก

นอกจากนั้นทางฝั่งภาษาสำหรับพัฒนาโปรแกรม เราเปลี่ยนจาก PHP มาเป็น Python ด้วยเหตุผลทางด้าน Compatibility เป็นหลัก เนื่องจากบริษัทของเราทำ Data ซึ่งทางฝั่งนั้นต้องใช้ Python หนีไม่พ้น เราก็เลยเปลี่ยนฝั่ง Application ที่เดิมใช้ Laravel อยู่เป็น Django ซะเลย ถามน้องดูว่าย้ายไหม น้องก็โอเคกันก็เลยย้ายซะ (ความจริงมีหัวโจก PHP แค่ 2 คนเท่านั้นล่ะ พูดดูเหมือนเยอะ) ใช้เวลาย้ายกันอยู่ประมาณเดือนกว่าๆ ก็กลับขึ้นมารันใช้งานได้ตามเดิม เพราะโปรแกรมเราแยกฝั่ง Backend กับ Frontend อย่างโคตรชัดอยู่ละ

ปีนี้ผมเริ่มเอา One on one meeting มาใช้ มันก็คือการเรียกสมาชิกในทีมตัวๆ ทีละคน ถามสารทุกข์สุขดิบ ถามเรื่องความเป็นอยู่ สภาพในออฟฟิศ ขอให้ช่วยแนะนำ แนะนำแนวทางแก้ปัญหาในมุมมองของแต่ละคน แล้วก็ขอให้ Feedback ให้พี่ได้พัฒนาด้วย มีบ้างไม่มีบ้างแล้วแต่จังหวะ เจอกันทุกเดือน รู้สึกเป็นกิจกรรมที่ดีมากจริงๆ ใครเป็นหัวหน้าทีมอยู่แนะนำให้ทำกิจกรรมนี้กัน จะได้เห็นและเข้าใจปัญหาจากคนหน้างานมากขึ้น แล้วเตรียมการแก้ไขอย่างรวดเร็ว เพราะหัวใจการเป็นหัวหน้าที่ดีคือการฟัง

สุดท้ายคือปีนี้ก็ได้ไปออกบูทกันที่ Techsauce Summit 2019 และ SFF x Switch 2019 ที่สิงคโปร์กัน ทีมงานก็ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาและได้กลับมากำหนดทางทิศทางของบริษัทกัน ไปครั้งแรกที่ได้ออกไปเห็นโลกข้างนอกแบบที่ไม่ใช่ไปแบบนักท่องเที่ยว ถึงได้รู้ว่าคนอื่นเขาจริงจังกันขนาดไหน แต่แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า บ้านเรามึนๆ งงๆ อะไรกันอยู่นะ

เรื่อง Credit OK นี้มีอีกเยอะ ทุกวันนี้ 90%+ ของชีวิตมีแต่ Credit OK จะเป็นอย่างไรกันต่อ จะเติบโต จะตื่นเต้นกันขนาดไหน โปรดรอติดตามตอนต่อไป

Money Counter

ปีนี้แอป Money Counter ไม่ได้อัพเดทเลย มัวแต่เขียน Blog อย่างบ้าคลั่ง อย่างไรก็ดี ปีนี้ไปเน้นทางด้านการทำ Digital Marketing ผมเอาเงินที่ได้มาไปโฆษณายิงโฆษณาทำให้ฐานลูกค้าขยายขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ แอปเข้าไปแก้ปัญหาให้ผู้คนในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ

นี่เป็นเรื่องที่พิสูจน์ให้เห็นว่า มีของดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำโฆษณาให้เป็นที่รู้จักด้วย สุดท้ายนอกจากไม่กำไรแล้วยังขาดทุนค่าโฆษณาด้วย 555


ด้านเทคโนโลยี


ใช้ Hugo เป็นแล้ว

เรื่องแรกเลยของปีคือการพยายามทำเว็บไซต์บริษัท ซึ่งเราพยายามลดการ Maintinance ทุกอย่างออกไปทั้งหมด จึงเลือกจะทำเป็น Static Website แล้วเอาไปโฮสบน GitLab Pages แต่จะมา HTML CSS ล้วนๆ ก็ดุดันไป ก็เลยเลือก Static Website Content Generator โดยตัวที่เราเลือกใช้ก็คือ Hugo นั่นเอง ทีนี้เวลาจะแก้เว็บอะไรก็ไปแก้บน GitLab ได้เลย แล้วก็โฮสฟรีบน GitLab และ Cloudflare ไม่ต้องเสียเงินด้วยอีกต่างหาก

ทำ CI/CD จนจบ Flow ได้สักที

ทางฝั่ง CI/CD หลังจากปีก่อนเรียน Docker เรียน Kubernetes กันจนแกร่งกล้าแล้ว เก็บรายละเอียดทุกจุดที่ต้องใช้จนมั่นใจมากพอแล้ว ก็ตั้ง Cluster ขึ้นมาแล้วทำ Auto Deploy จาก GitLab โลด ปีนี้ Developer ของเราไม่ต้องห่วงเรื่อง Ops แล้ว เราทำ Automation ให้ใช้ Push แล้ว Deploy ไปเลย ตอนนี้คอยควบคุม Version ด้วย Merge Request มาอย่างเดียว

ใช้ Kubernetes บน Production

อย่างที่บอกข้างบนว่าปีนี้ใช้ Kubernetes บน Production แล้ว ชีวิตของคนดูแลระบบก็ปวดหัวน้อยลง เพราะเรามองว่า Deployment ของเรามันเป็นระบบอัตโนมัติไปหมดแล้ว อยากเอาอะไรไปใส่เพิ่มก็แค่เขียน YAML แล้วส่งขึ้นไป แต่ใช่ว่าเส้นทางมันจะง่าย มันมาลำบากก็ตรงเรื่อง Learning Curve เนี่ยล่ะ ทำให้เราต้องมีคนทำ DevOps เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีกคนเพื่อดูแลเรื่องพวกนี้โดยเฉพาะ (มันก็คือคนเฝ้า Server คนเก่านั่นล่ะ) นอกจากนั้นก็ยังเจอปัญหาความไม่รู้ที่ทำให้เกิดข้อจำกัดในการใช้งาน ต้องลองผิดลองถูกกันอยู่สักพักใหญ่ๆ กว่าจะเอาขึ้นกันได้ แล้วใช้ไปสักพักผมก็เริ่มรู้สึกว่า เออ มันไม่สุดว่ะ ก็เลย..

ใช้ Cloud Run บน Production ด้วยซะเลย

ช่วงหลังมานี้ GCP เอาเครื่องมือที่ผมยืนปรบมือให้ก็คือ Cloud Run เข้าสถานะ GA ให้ทุกคนเข้าใช้งานกันแล้ว Cloud Run คือเครื่องมือสำหรับการทำ Deployment ด้วย Container เป็นเหมือนกับ Kubernetes เลย แต่เอามาใช้ได้กับเรื่อง Web Server เท่านั้น ซึ่งก็เหมาะกับโจทย์เราดี แต่ที่ต่างกันอย่างชัดเจนเลยคือ Cloud Run ใช้ Node ที่ GCP เตรียมเอาไว้ให้ เราไม่ต้องตั้ง Cluster อย่าง GKE แล้ว และคิดเงินตามการใช้งานจริง แล้วการใช้งานก็ซับซ้อนน้อยกว่า สุดท้ายเราก็เริ่มย้ายโปรแกรมส่วนใหญ่มาไว้บนนี้กันช่วงปลายปี สบายใจกว่ากันเยอะ ข้อจำกัดมากกว่าแต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานแล้วล่ะ

เรียน Python และ Django

ก่อนหน้านี้โปรแกรมหลักของที่บริษัทเราใช้ PHP กัน และด้วยความคลั่งไคล้ใน Cloud Run ของ CTO ทำให้ PHP กลายเป็นทางเลือกที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป เพราะการใช้ Docker ของ PHP Apache นี่มันห่วยมาก ถึงขนาดที่ผมต้องเขียน Docker PHP-FPM Nginx ขึ้นมาใช้เอง ซึ่งมันรันด้วย Supervisor แล้ว Cloud Run มันไม่รองรับ ก็เลยยังไม่สามารถเอา PHP ไปรันบน Cloud Run ได้

นอกจากนั้นเนื่องจากบริษัทเรามีงานด้าน Data ที่ใช้ Python เยอะมากๆ เพื่อให้ทีมพูดภาษาเดียวกัน ความสนใจในการย้ายออกจาก PHP ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก เวลาจะทำงานร่วมกันระหว่างฝั่ง Data กับฝั่ง Application มันจะได้ Integrate กันได้ตรงๆ ไปเลย จะไปวาง Microservice API ยุบยับผมว่ามันยังไม่ใช่เวลา

ด้วยเหตุนี้จึงเรียกน้องที่เป็นหัวเรือของทีม Application มาคุยกันว่า เราจะย้ายไปใช้ Python กัน น้องว่าไง ซึ่งน้องก็โอเคที่จะย้าย เพราะอนาคตของภาษามันดีกว่าจริงๆ มันเป็นอนาคตแน่ๆ ดีกับทุกฝ่าย แล้วเราก็เพิ่งเริ่มด้วย ก็เลยตกลง Port โปรแกรมที่พัฒนาอยู่ยังไม่เสร็จดีข้ามภาษากัน ใช้เวลาประมาณเดือนกว่าๆ ก็สำเร็จกลับขึ้นมาใช้งานได้ แต่รอบนี้เรา Deploy บน Cloud Run แล้ว รู้สึกดีมากจริงๆ

เรื่องนี้ต้องขอขอบคุณทีมงานที่เข้าใจกันและทำให้สำเร็จขึ้นเรื่อง ถึงแม้เหมือนเราจะก้าวถอยหลังไปสักพักนึง แต่ก้าวต่อไปต่อจากนี้จะเป็นการก้าวที่กว้างขึ้นมากๆ

ใจจริงของผมตั้งใจจะย้ายออกมาตั้งเป็นปีละแต่ไม่สบจังหวะสักที และไม่ชัวร์ว่าจะย้ายไปไหนดี Go ที่ผมชอบแต่หา Developer ไม่ได้ หรือ NodeJS ที่ชาวบ้านนิยมแต่ผมว่ามันขัดหูขัดตาชะมัด สุดท้ายลองๆ Research ดูแล้ว Infra อะไรก็พร้อมก็เลยเอา Python นี่ล่ะ เหมาะสมที่สุดแล้ว

ซื้อคอมใหม่ Dell XPS 13 ใช้ Manjaro

เรื่องสุดท้ายคือการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ส่วนตัว เนื่องจาก Docker ที่กิน Spec มากจนทำให้ทนใช้ MBA 2012 ไม่ไหวละ ผมเลยตัดสินใจซื้อคอมใหม่เป็น Dell XPS 13 ตัวแรงสุดไปเลย (แรงไป บอกเลย -_-)

ซึ่งมือหนึ่งเนี่ยซื้อไม่ไหวจริงๆ ก็เลยหามือสองเอา ก็ได้มาในที่สุดในราคา 37k ซึ่งลดลงมาจากราคาป้ายเกือบเท่าตัว ทุกอย่างแรงไปหมด มาใช้งานก็มีความสุขดี

ที่มีความสุขยิ่งกว่าคือ ในที่สุดก็ได้กลับมาใช้ Linux แล้ว ซึ่งรอบนี้ลง Ubuntu แล้วไม่ค่อยปลื้มเลยหลบมาใช้ Manjaro KDE แทน มี Grid Workspace ให้ใช้แบบ Native สักที มีความสุขมากสำหรับสาย Command line ทุกอย่างมัน Native ไปหมด (อันนี้เป็นความชอบส่วนตัว)


ด้านการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง


ทำสถิติบนไดอะรี่

ปีนี้นอกจากเขียนไดอะรี่ต่อเนื่องจากปีก่อนทุกวันแล้ว ก็ยังติด tag ใน Evernote ด้วย ว่าวันนี้มีเหตุการณ์อะไรสำคัญๆ เกิดขึ้น ช่วยให้สามารถจัดหมวดหมู่ชีวิตในแต่ละวันง่ายมาก รู้หมดป่วยกี่วัน วันไหนทำงานหนัก วันไหนอ่านหนังสือจบ เลยทำให้สามารถเขียน Blog สรุปประจำปีง่ายขึ้นมากๆ (เอาจริงๆ ถ้าไม่จดไดอะรี่คงจะเขียน Blog นี้ไม่ได้ละ ปีนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นเยอะมากจริงๆ)

อ่านหนังสือไป 17 เล่ม

ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาจากปีก่อนคือการอ่านหนังสือ ปีนี้อ่านไปทั้งสิ้น 17 เล่ม ส่วนใหญ่หนังสือพัฒนาตัวเอง ทีแรกอ่านตอนกลางคืนได้เพราะยังกลับบ้านเร็ว ช่วงครึ่งปีหลังนี่กลับดึก ถึงบ้าน 3 ทุ่มแทบทุกวันเลยไม่ค่อยได้อ่านหนังสือก่อนนอนละ แต่ไปอ่านเอาตอนนั่งรถไฟฟ้าเอาแทน อยู่บนรถไฟฟ้า มีทางเลือกให้คุณสองทาง คุณจะไถมือถือ หรือคุณจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน มีเวลาอ่านวันละประมาณ 10-20 นาที ทุกวันที่ไปทำงาน ความต่อเนื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้อ่านหนังสือไปได้เยอะมากจริงๆ ทุกอย่างมันอยู่กับการบริหารเวลาเลยจริงๆ

เริ่มทำ Fasting อดอาหารมื้อเย็น

เวลาผ่านไปเรื่อย เริ่มมีความหงุดหงิดเรื่องการกินข้าวเย็น รู้สึกเลิกงานช้า และไม่อยากกินอะไรหนักท้อง ก็เลยงดกินมื้อเย็นแม่งซะเลยสิ้นเรื่อง ไหนๆ เขาก็กำลังฮิตทำ Fasting กันอยู่แล้ว เราก็ร่วมวงกับเขาด้วยซะก็จบ ก็เลยเลิกกินมื้อเย็น สัปดาห์แรกๆ โหดมาก แต่ตอนหลังชิน ไม่ต้องกินมื้อเย็นได้สบายๆ ถ้าจัดการอาหารตอนกลางวันได้ดี

เป็นคนนอนเร็ว ตื่นเช้า (ขึ้น) แล้วจ้า

ส่งผลมาจากการทำ Fasting พอไม่กินข้าวเย็น ก็ต้องรีบนอน ไม่งั้นเดี๋ยวหิวตอนดึก พอนอนไว ก็ตื่นเช้าขึ้น มีเวลาทำอะไรต่ออะไรตอนเช้ามากขึ้น ก็เปลี่ยนเวลาการดำเนินชีวิตไปนิดหน่อย รู้สึกสุขภาพดีขึ้นนิดหน่อย ตื่นเช้าขึ้นไม่ได้แปลว่าไปทำงานเข้าขึ้นนะ แต่ก็เริ่มได้เริ่มงานเช้าขึ้นจากที่บ้าน เพราะยังไงทำงานตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนอยู่แล้ว 555

ได้ออกกำลังกายบ้างแล้วนิดๆ หน่อยๆ

ปีก่อนเรื่องออกกำลังกายนี่แย่เลยเพราะว่าย้ายคอนโดแล้วไม่มียิม ส่วนปีนี้หลังจากส่งแฟนไปยิม ถูกเทรนด์ออกมาอย่างดี ก็เลยมาสอนท่ายก weight บ้างนิดๆ หน่อยๆ มีจุดนึงในปีนี้ที่มีความรู้สึกว่าแขนมันอ่อนแรงซะจนเริ่มสังเกตได้ เริ่มงงว่าเราไม่เคยอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน หลังจากนั้นก็เลยพยายามยก weight ให้ได้แทบทุกวัน ไม่นานกล้ามน้อยๆ ก็เริ่มกลับขึ้นมา มีกำลังอะไรมากขึ้น ปวด Office Syndome น้อยลงด้วย (แต่ไม่ได้หายขาด)


ด้านการสอนและเผยแพร่ความรู้


เขียน Blog รัวๆ

ปีนี้ตั้งใจว่าจะเขียน Blog แล้วก็ได้มาเขียนจริงๆ ทีแรกจะเขียนสัปดาห์ละอัน ช่วงแรกๆ ทำได้อยู่งานยังไม่ยุ่งมาก แต่ตอนหลังมานี่งานยุ่งจัดก็เลยเขียนต่อไปทีละนิดๆ แทน สุดท้ายปีนี้เขียน Blog Entry ใหม่ไป 21 อัน เริ่มเขียนตั้งแต่ยังงงๆ มึนๆ จนตอนนี้คล่องละ นอกจากนั้นยังเอาบทความเก่าๆ ที่ดีมากแต่เขียนไว้แบบหยาบๆ มา Revise ใหม่ แล้วเอาไปแปะตามกลุ่มเป้าหมาย กลายเป็นเรื่องฮิตไปเลยทีเดียว ทำอะไรแล้วมันสำเร็จก็สนุกดั ทีนี้ได้ใจ เอาใหญ่ เขียนไปเรื่อยเลยทีนี้ จนกระทั่งงานเข้าเยอะๆ นี่ถึงได้ผ่อนเบาบางกันไป เขียน Blog นี่ นอกจากได้โม้ ได้ทั้งเผยแพร่ความรู้แล้ว ยังได้ฝึกทำ Digital Marketing ไปในตัวด้วย มีของดีต้องขายให้เป็น

ออกไปงานบรรยาย 5 งานเลยหรอเนี่ย!

อ่อนทักษะอะไร จงตอกย้ำทำมันซ้ำๆ จนกว่าจะเก่ง อ่อนทักษะการพูดในที่สาธารณะหรอ หน้าบางหรอ งั้นก็ออกไปพูดตามงานทุกครั้งที่มีโอกาสซะเลยซิ!

ปีนี้ออกไปบรรยาย เล่าความรู้ทางเทคนิคที่ได้ทดลอง ได้ทำลงไป ที่พอเผยแพร่ได้ ให้คนข้างนอกฟังเยอะอยู่ ตั้งแต่เล่าให้น้องๆ ในมหาวิทยาลัยฟัง ไปจนถึงเล่าให้กลุ่มนักพัฒนาฟังกัน โดยหัวข้อที่ออกไปบรรยายก็มีดังนี้

ออกไปพูดจากทีแรกติดๆ ขัดๆ จนตอนหลังนี่ไถเก่งสีข้างมีระบบรักษาตัวเองได้เรียบร้อยละ เนียน!

ลองเขียนหนังสือแต่ไปไม่รอด

เมื่อต้นปีมี บก. มาแนะนำให้ลองเขียนหนังสือดู เราก็รับปากแล้วก็ลองเขียนดู เขียนไปเรื่อยๆ วันละชั่วโมงบ้าง ครึ่งชั่วโมงบ้าง จนงานที่ทำงานก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ต้องเอากิจกรรมนี้ออกไป สุดท้ายก็เลยพักโครงการไปก่อน เอางานที่ บ. ให้รอดก่อน -_-


หนังสือที่อ่านจบไปในปีนี้


ปีนี้อ่านหนังสือไปทั้งหมด 17 เล่ม จริงๆ ผมรู้สึกว่ามันต้องมีอีกแน่ๆ แต่ว่าลืมติด tag ลงในไดอะรี่ก็เลยหาไม่เจอ รู้สึกมันมีบางเล่มหายไป -_-

  • สิ่งสำคัญของชีวิต
    บทสัมภาษณ์ของนิ้วกลมกับลุงมานิต อ่านแล้วสดชื่น ให้มุมมอง ให้แง่คิดในการดำรงชีวิตดีๆ ออกมาเยอะมาก เป็นหนังสือด้านบวกที่ดีมากเล่มหนึ่ง
  • Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูด
    หนังสือเกี่ยวกับ Marketing ที่รุ่นน้องที่เคยทำงานด้วยกันเป็นผู้ร่วมเขียนด้วย ดูแล้วก็น่าสนใจดีนะ เป็นเหมือนการปูพื้นฐานแบบรวดเดียวจบ
  • คุยกับคนนี้แล้วรู้สึกดีจัง
    หนังสือสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางด้านการสื่อสาร หนังสือเล่มนี้ปรับ Mindset ของผมเกี่ยวกับการคุยกับคนไปเลย
  • ปัญญางาน จัดการตน
    หนังสือมุมมองความคิดคมๆ ที่ช่วยเสริมสร้าง ปรับ Mindset ความจริงหนังสือดีนะ ถ้าอยากได้แง่คิดต่างๆ ก็น่าสนใจมาก
  • ปัญญาวิชาชีวิต : How Will You Measure Your Life?
    หนังสือมุมมองความคิดคมๆ ที่ช่วยเสริมสร้าง ปรับ Mindset แบบเดียวกับข้างบน -_-
  • แค่ทำให้คนเก่งขึ้น 1% คุณก็จะทำงานน้อยลง 99%
    หนังสือที่แนะนำมุมมองเกี่ยวกับการดูแลสมาชิกภายในทีมให้ทำงานร่วมกันได้ เป็นหัวหน้าที่ดีต้องทำอย่างไร จะทำยังไงให้ลูกน้องขยันขันแข็ง ทุกอย่างมันเกิดจากความเข้าใจกันทั้งสิ้น
  • ทำไมคนทำงานเก่งที่สุดถึงใช้สมุดกราฟ
    หนังสือที่เล่าถึงการจดบันทึกต่างๆ ด้วยสมุดกราฟแบบเป็นตารางๆ ว่าจดยังไงให้ได้ประสิทธิภาพสูงให้
  • ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปเมื่อเริ่มฉีกขาได้
    หนังสือขำๆ เนื่องจากผมนี่ตัวแข็งมาก ก็เลยพยายามทำให้ตัวอ่อนลง ก็ได้หนังสือเล่มนี้ล่ะ ความจริงเนื้อหาในเรื่องมีนิดเดียวแหละ -_-
  • คเณิร์ตศาสตร์
    หนังสือที่เล่าถึง Fact ที่น่าสนใจเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ น่าเสียใจที่ตอนมัธยมไม่ได้อ่านเล่มนี้ ไม่งั้นคงจะตั้งใจเรียนคณิตศาสตร์มากกว่านี้อีกเยอะ
  • Still Alice
    นิยายเรื่องแรกที่อ่านจบในชีวิต เป็นนิยายเกี่ยวกับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เก่งและฉลาดมากๆ แต่เป็นโรคความจำเสื่อมแบบเฉียบพลัน จากคนที่เก่งมากๆ ที่ค่อยๆ หลงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ความกดดัน ความเครียด อารมร์ที่เกิดจากความไม่ได้ดั่งใจ ทำให้เธอต้องพยายามเอาตัวรอดอย่างมาก แต่สุดท้ายก็ไม่รอด เล่มนี้ทำให้รู้ว่า โรคอัลไซเมอร์นั้นร้ายแรงเพียงใด โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว
  • Sapiens
    หนังสือที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ของเราโดนสังเขป เล่าเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์ และที่สำคัญคืออธิบายว่า ทำไมเราถึงเป็นเรา ทำไมเราถึงมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาได้ ช่วยให้เราเข้าใจการทำงานในสังคมของเรามากยิ่งขึ้น แต่โดยรวมแล้วผมไม่ค่อยอินสักเท่าไหร่
  • OKR ตั้งเป้าชัด วัดผลได้
    หนังสือที่เล่าถึงการใช้ OKR ในการบริหารบริษัท พร้อมตัวอย่างการเอา OKR เข้าไปบริหารงานจริง อ่านแล้วโคตรอินเลยเพราะผมก็ได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกพูดถึงในหนังสือประสบความสำเร็จ มันเหมือนการได้เห็นเบื้องหลังของความสำเร็จนั่นเอง เป็นอีกหนึ่งในหนังสือที่ดีมาก
  • 52 วิธี ตัดสินใจให้ไม่พลาด
    หนังสือเล่มนี้หยิบมาอ่านขำๆ แต่บางเรื่องก็น่าคิดมาก ให้เราพึงระวังถึง Bias ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณของมนุษย์ เพื่อที่ว่าเวลามีความคิดแวบเข้ามาจะได้แยกออกมาได้ว่า นี่เรากำลังตัดสินใจด้วยข้อมูล หรือเรากำลัง Bias อยู่กันแน่ ซึ่งหลายๆ เรื่องก็น่าคิดนะ ให้เราได้ระวังเวลาจะตัดสินใจทำอะไร
  • Factfulness ความจริงแล้วโลกนี้ดีขึ้นทุกวัน
    หนังสือที่ชี้ให้เห็นมุมอีกมุมของโลกที่คนไม่ค่อยมอง ความจริงแล้วชีวิตของเราดีขึ้นทีละน้อยๆ ทุกๆ วัน แต่ด้วยสื่อด้วยสังคมที่มักไหลตามกระแสของอารมณ์ ทำให้เรามองโลกบิดเบี้ยวไป นอกจากหนังสือจะชี้ให้เราเห็นถึงข้อมูลที่เราต้องอ้าปากค้างแล้ว เราแนะนำสอนให้เรามองโลกตามความเป็นจริงมากขึ้นอีกด้วย
  • TALK LIKE TED
    เล่มนี้อ่านเพราะว่าจะต้องมีพูดหลายงาน ก็อยากจะฝึกพูดให้มันดีขึ้นซะหน่อย ลองอ่านดูแล้วก็ได้เคร็ดลับการพูดมาอีกหลายเรื่อง ความจริงก็เป็นเรื่องที่พอจะรู้อยู่แล้วแต่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ แต่เล่มนี้นอกจากเล่าเทคนิคแล้ว ยังเล่าอีกด้วยว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แล้วจะเอาแต่ละเทคนิคไปใช้อย่างไร นี่น่าจะช่วยให้การพูดช่วงหลังๆ ของผมดีขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว
  • Tuesdays with Morrie
    เล่มนี้อ่านแล้วอิ่มเอมหัวใจสุดๆ นี่คือสุดยอดครูที่ทั้งมีความเฉียบและแตกฉานเรื่องความคิดแล้ว ยังมีจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาอย่างที่สุด หากคุณไม่เคยเตรียมพร้อมเรื่องความตาย หรืออยากจะเข้าใจว่าโลกนี้ความรักนั้นสำคัญมากเพียงใด หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ควรอ่านอย่างยิ่ง
  • เลิกการคบค้าที่ไม่เป็นผล
    หนังสือเล่มสุดท้ายของปี เป็นหนังสือที่แทงใจดำผมมากที่สุด เป็นหนังสือที่สอนทักษะการเข้าสังคม การฟัง การพูด การปฏิบัติเรื่องต่างๆ ให้สามารถดำเนินชีวิตกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้กับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการสื่อสารอย่างยิ่งยวด แล้วคุณจะเปลี่ยน Mindset เกี่ยวกับการมีชีวิตร่วมกับผู้อื่นไปเลย
  • ลี กวน ยู
    หนังสือเล่นเล็กเกี่ยวกับประวัติชีวิตและมุมมองแนวคิดของทางผู้นำที่ยิ่งใหญ่แห่งสิงคโปร์ อ่านแล้วหันมามองดูบ้านเรา แล้วก็ยักไหล่ใส่หนังสือ

Blog ที่เขียนจบไปในปีนี้


อย่าที่ได้เล่าไปก่อนหน้าว่าปีนี้เขียน Blog เยอะมาก และนี่คือ Blog ทั้งหมดที่เขียนในปีนี้


เรื่องเบาๆ กันบ้าง


ติดเกม The Founder

เขาบอกว่ามันยากนักการทำ Start Up นี่ เคยเห็นเกมนี้แล้วเคยเข้าไปเล่นดู แต่ตอนนั้นเล่นไม่เป็นแล้วก็หยุดไป พอดีนึกขึ้นมาได้เลยลองค้นๆ มาลองเล่นดูใหม่ เออ รอบนี้เล่นเป็นละเว้ย เฮ้ย สนุกดีว่ะ เฮ้ย! ติดเกมซะงั้น เสียเวลาชีวิตตอนกลางคืนก่อนนอนไป 3 วัน ยังดีเกมมันจบเร็วไม่เสียเวลามาก

ซ่อมปลั๊กไฟในบ้านเป็นแล้ว

ปีก่อนมาอยู่คอนโดกับปลั๊กไฟที่เสียบไปแล้วใช้ไม่ได้ ปีนี้โชคดีมีน้องจบไฟฟ้าแนะนำวิธีการซ่อมปลั๊กไฟ ก็เลยเอาวิธีการตรวจสอบแล้วก็ทำดู แล้วก็สำเร็จ พบว่าช่างที่ทำไฟที่คอนโดแม่งชุ่ยมาก ต่อไฟไว้ผิดๆ ถูกๆ ก็เลยทำให้บางเต้าใช้ได้ บางเต้าใช้ไม่ได้ แต่ก็โชคดีที่สุดท้ายเราพอทำเป็นก็เลยจัดการแก้ไขเองทั้งหมด ตอนนี้ระบบไฟก็เลยกลับมาใช้งานได้ตามปรกติละ

กำจัดแมลงศัตรูพืชก็ทำได้

เรื่องไม่เป็นเรื่องของปีนี้คือ ต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้แมลงวันขาวลง ลงซะจนแทบจะตายทั้งต้น ค้นหาวิธีการกำจัดสารพัดวิธี ปรกติชอบดูชอบอ่านเรื่องแมลงอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้กลายเป็นต้องเอาความรู้ด้านแมลงที่มีมาหาวิธีกำจัดมัน ทีแรกใช้แบบ Organic แต่เหมือนจะไม่ค่อยช่วยอะไร ยังออกลูกออกหลานกันอย่างไม่หยุดหย่อน สุดท้ายเลยซื้อแบบสารเคมีมาฉีดทุกวันซะเลย ทีนี้ 3 วันจบ เข้าใจหัวอกเกษตรกรเลยจ้า

เรื่องน่าแปลกก็คือ จากต้นมะลิที่โดนแมลงกินจนแทบจะไม่เหลือใบ เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนก็กลับมาสุขภาพดี ใบใหม่สีเขียวเต็มต้น ความจริงปลูกต้นไม้นั้นไม่ได้ยากเลย ต้นไม้มันก็อยากจะเอาตัวรอดของมันอยู่แล้วเหมือนกัน

ประกอบเฟอร์นิเจอร์ IKEA

ปีนี้แฟนย้ายเข้ามาอยู่ด้วย ก็เลยต้องมีการจัดปรับห้องครั้งใหญ่เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ทะเลาะกัน เลยโดนค่าเฟอร์นิเจอร์ไปอ่วมอยู่ แต่ก็ทำให้ได้จัดของเป็นสัดเป็นส่วนมากขึ้น แต่ความพีคมันอยู่ที่ว่า ซื้อเฟอร์นิเจอร์ IKEA เนี่ย มันต้องเอามาประกอบเองนะ ทีแรกซื้อตู้ต่อง่ายๆ มาก็สนุกดี หลังๆ ชักจะใหญ่ขึ้น ซับซ้อนขึ้น ยากขึ้น หนึ่งชิ้นวันเดียวไม่จบ แต่ก็ทำไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นคนที่ต่อเฟอร์นิเจอร์ IKEA มืออาชีพไปละ ถึงขั้นต้องมีไขควงไฟฟ้าเลยนะ 555


นั่นล่ะครับเรื่องราวในปีที่ผ่านมา ส่วนปีหน้าฟ้าใหม่ก็มารอดูกันว่าชีวิตจะเป็นยังไงกันต่อไป 🙂

Tags: