ผลึกความคิดจากหนังสือ พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นผู้ใหญ่

อายุที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทำให้คนกลายเป็นผู้ใหญ่
หากแต่เป็นประสบการณ์ ความเจ็บปวด และวิธีการคิด ต่างหาก

เรื่องหนึ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้นคือการโตเป็นผู้ใหญ่
แต่การเป็นผู้ใหญ่นั้นก็ไม่ได้ง่ายตรงไปตรงมา
ความคาดหวังจากตัวเอง คนรอบตัว และสังคม
ทำให้คนๆ หนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอยู่ในบ่ออนุบาลน้ำอุ่นมาตลอด
ออกมาเจอโลกความจริงอาจถึงกับต้องช็อคน้ำกันได้
แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องต่อสู้เอาตัวรอดต่อไปไม่มีทางอื่น

หลายครั้งผู้ใหญ่มักเผลอทำร้ายเด็ก
โดยการเปรียบเทียบกับตัวเองสมัยก่อน
โดยไม่คิดคำนึงว่าบริบทของสังคมตอนนี้กับตอนนั้นต่างกันสิ้นเชิง
สภาพการแข่งกัน สิ่งยั่วยวน เนื้องาน ความคาดหวังของสังคม
เราควรเข้าใจ ให้กำลังน้องๆ ช่วยเขาหาหนทางของตัวเองให้เจอ
เขาจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพอย่างที่สังคมคาดหวัง

น้องๆ หลายคนมักมาปรึกษาปัญหาถึงการวางแผนชีวิต
การวางแผนการทำงาน แผนการเงิน เป้าหมายชีวิต จะทำยังไงดี
ผมว่าเล่มนี้แหละ รวมครบทุกด้านเลย เรียบเรียงมาอย่างดี

ช่วงกลางๆ ท้ายๆ เล่มกล่าวไปถึงชีวิตที่ตัวผมเองยังไปไม่ถึงซะด้วยซ้ำ
อย่างเช่นการแต่งงาน ใช้ชีวิตคู่ การมีลูก มีครอบครัว
ก็มีประเด็นหลายๆ อย่างที่น่าเก็บมาขบคิดถึงปัญหาภายในบ้าน
ที่หลายๆ ครอบครัวต้องเผชิญในแบบเดียวกันแต่ไม่สามารถจัดการกันได้

ส่วนตัวรู้สึกชอบเรื่องไผ่เหมาจู๋ที่สุดละ
อาจารย์เล่าว่า ไผ่เหมาจู๋เป็นไผ่ที่ตั้งแต่โรยเมล็กลงดินไป
เวลาผ่านไป 5 ปี แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาที่กำหนด ต้นไผ่ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว
สูงขึ้นวันละหลายสิบ cm จนกระทั่งต้นสูงกว่า 25 เมตร แซงต้นไม้อื่นๆ
ในเวลา 5 ปีที่ผ่านมาแม้ไม่มีหน่อขึ้นมาพ้นดิน
แต่ข้างใต้ดินต้นไม้ได้เลี้ยงรากชอนไชรอถึงเวลาที่เหมาะสม

เปรียบเหมือนคนเราที่อดทนทำงานในที่ที่ไม่ได้สามารถไปอวดใครได้มากนัก
อาจจะไม่ได้โด่งดัง ไม่ได้มีเงินอู้ฟู่อย่างเพื่อนหลายๆ คน
แต่กลับเป็นสถานที่ๆ ได้ทำงาน ได้เรียนรู้ ได้สะสมความรู้อย่างเต็มที่
จนเมื่อถึงเวลาของตนจึงได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมา
แล้วจึงเติบโตบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว

คงชอบเรื่องนี้เพราะรู้สึกตรงกับชีวิตตัวเองอย่างมาก
สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานไม่ใช่ตัวเงินว่าได้เท่าไหร่
แต่มันต้องมีความรู้ ความสุข และการเติบโตที่ได้จากงานนั้นๆ
ตัวเงินและความมั่งคั่งมันจะตามมาหลังจากนั้น
เมื่อเรามีทักษะที่ขาดแคลนแต่เป็นที่ต้องการของตลาด

จงหาให้เจอว่าตัวเองชอบทำอะไรที่สุดที่เป็นที่ต้องการของตลาด
แล้วจงพาตัวเองไปบ่มเพาะอยู่ในสถานที่ที่สามารถมอบสิ่งนั้นให้ได้
เมื่อมีสิ่งนั้นพร้อมแล้ว ที่เหลือก็แค่รอโอกาสที่จะได้ผลิบาน

ความจริงหนังสือออกมาตั้งนานหลายปีแล้ว
ไม่รู้ทำไมไม่มีคนแนะนำเลย
ส่วนตัวรู้สึกถูก underrated สุดๆ
ใครซื้อมาอ่านแล้วไม่ถูกใจ หรือมีอยู่ไม่ได้ใช้
เอามาขายต่อให้ผมได้นะครับ
ผมมีน้องๆ ที่ผมคอยแนะนำอยู่ตลอด
หนังสือพวกนี้จะมีคุณค่ากับพวกเขามาก

นี่คือคู่มือแห่งการจัดการบริหารชีวิตที่ดีมากๆ เลย
เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกสิ้นหวัง หวั่นไหว
อยากให้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาพลิกอ่านดู
เผื่อจะมีกำลังใจ เผื่อจะเกิดปัญญา เผื่อจะมีทางออก

ส่วนตัวผมเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะดึงสติใครหลายคน
ที่อยากจะถูกความเชื่อ ความคาดหวังจากสังคมกดดัน
และได้ย้อนกลับมานึกถึงสิ่งที่สำคัญจริงๆ ของการมีชีวิตอยู่

สำหรับน้องๆ ที่ยังเรียนไม่จบ ต้องไม่พลาดหนังสือเพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวดของอาจารย์คิมรันโด คนเดียวกันนี้เล่มนั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการวัยรุ่นเพราะช่วงเวลาแต่ละวัยก็มีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป


เนื้อหา มุมมองแง่คิด บางส่วนที่ผมขอเก็บกลับมาบันทึกเอาไว้จากการอ่าน

ถ้าคุณไม่เคยลำบากยากเข็ญในชีวิต คุณก็ต้องยอมรับแรงกดดันที่มาจากความคาดหวัง พวกเราทุกคน ทุกรุ่น ทุกยุคสมัย ต้องอยู่ในเกมของโลกสมัยใหม่ ที่มีความบีบคั้นกันคนละแบบ จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ทั้งการแข่งกันในระบบการศึกษา การหาเงิน และหางาน pp.(13)

โรงเรียนกับที่ทำงานต่างกันราวฟ้ากับเหว ที่แรกเธอต้งจ่ายเงินและเข้าเรียน ส่วนอีกที่เธอต้องรับเงินและเข้าทำงาน pp.5

ถ้าปัญหาคือลักษณะการทำงาน มนุษยสัมพันธ์ หรือค่าตอบแทน ก็จงอดทนอีกสักนิด แม้จะเป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ ี่ได้ แต่ขอให้นำมาพัฒนาตนเองให้มีคุณค่ามากขึ้น แต่ถ้าหากเธอคิดว่า ไม่สามารถเจริญก้าวหน้าจากที่นี่ได้ ถึงแม้ที่ทำงานที่เพื่อนร่วมงานนิสัยดี และงานไม่หนักงาน ก็ขอให้ตัดสินใจลาออกอย่างเด็ดขาด pp.7

ไผ่เหมาจู๋ (ไผ่ขน) เป็นพืชที่จะไม่งอกหน่ออ่อนใดๆ เลยตลอด 5 ปี จนกระทั่งครบ 5 ปีมันจะเริ่มงอกออกมาทีละหลายสิบ cm ภายในวันเดียว จนกระทั่งสูง 25 เมตรสูงกว่าพืชชนิดอื่น ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ไผ่เขาจะไม่เติบโต เพียงแต่มันเลี้ยงรากอยู่ใต้ดิน เตรียมพร้อมอย่าค่อยเป็นค่อยไป เพื่อเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อถึงเวลา pp.12

เมื่อถึงเวลา คุณจำเป็นต้องโยนทุกอย่างทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นความเกียจคร้าน ศักดิ์ศรี ความทะนงตัว หรือรายจ่ายฟุ่มเฟือย เหมือนจรวดที่สลัดท่อนเชื้อเพลืองที่หมดคุณค่า เพื่อให้น้ำหนักเหลือน้อย คุณจะตัวเบาและรู้สึกพร้อมที่จะวิ่งไล่ตามความฝัน pp.15

การเริ่มงานจากตำแหน่งเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องน่าสมเพช แต่การไม่ทำสิ่งใดเลยแม้กระทั่งลองดูก่อนค่อนข้างจะน่าสมเพชกว่า pp.16

สิ่งที่ตัดสินความเป็นตัวคุณไม่ใช่ที่ทำงานที่แรก แต่เป็นที่ทำงานที่สุดท้าย pp.16

ถ้าคิดว่าเป็นความผิดของคนอื่น แค่หิมะบนร่มก็ยังรู้สึกหนัก ถ้าคิดว่าเป็นหน้าที่ของตัวเอง แม้เหล็กที่แบกอยู่บนบ่นก็ยังรู้สึกเบา pp.35

ไม่มีใครเข้มแข็งเอาชนะอะไรก็ได้ไปทุกอย่าง แต่จงอย่าท้อแท้ และคุณจะอดทนผ่านมันไปได้ในที่สุด เรื่องทั้งหมดจะผ่านพ้นไป ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์หรือความสุข pp.36

ที่สุดแล้วคำว่าชัวิตก็คือการโยนบอลสามลูกที่เราต้องควบคุมสมดุลระหว่างตัวเอง ครอบครัว และที่ทำงาน ให้สัมพันธ์กัน pp.54

อันที่จริงจำนวนคนที่คิดถึงและห่วงใยมากน้อยไม่สำคัญ แม้จะมีคนเห็นคุณค่าชีวิตผมแค่หนึ่งถึงสองคนก็เพียงพอแล้ว การได้รักใครสุดหัวใจ หรือได้รับความรักจากใครคนนั้น เท่ากับว่าชีวิตเรามีคุณค่าแล้ว pp.60

สำหรับผู้ที่สำเร็จทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมตัว ยิ่งไฟสปอตไลท์สว่างจ้าจนแสบตา เงามืดที่ปรากฎยิ่งทอดยาว สายตาที่มองเห็นแต่แสงไฟงดงามกลับทำให้ดวงตามืดบอด จึงมองไม่เห็นโลกตามความเป็นจริง และสุดท้ายก็เริ่มมองไม่เห็นแม้กระทั่งตัวเอง pp.82

การตกเป็นเหยื่อความสำเร็จของตัวเอง pp.84

ผมไม่ได้ทำงานเพราะปรารถนาเงิน แต่เพราะปรารถนาที่จะทำงาน จึงหาเงินได้มากมาย pp.99

ถ้าเราหมกมุ่นยึดติดกับความคิดว่า จะต้องหาเงินให้ได้มากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะกลายเป็นนักโทษของงาน เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่รายรับที่มากขึ้นหรือน้อยลง แต่เป็นความสนึกที่เราได้รักงานที่ทำและค่อยๆ เติบโตไปเรื่อยๆ pp.104

ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการใช้เงินเป็นเป้าหมาย แต่เกิดจากการเติบโตของตัวเองต่างหาก pp.105

ช่วงเวลาที่เราจะเงี่ยหูฟังเสียงของจิตใจได้คือช่วงเวลาที่เราอยู่คนเดียว เวลาที่อยู่กับตัวเองตามลำพัง ช่วงนี้เท่านั้นที่เราจะได้คิดทบทวนและเติบโตขึ้น pp.114

ความรักที่ไร้การสื่อสารก็คือความรักที่จบสิ้นไปแล้ว pp.150

ในสายตาของลูกชายที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มักมองพ่อผู้ประสบความสำเร็จหลายด้านเสมือนเป็นกำแพงที่ไม่สามารถก้าวข้ามได้ ความรู้สึกของลูกชายที่มีต่อพ่อจึงกลายเป็นความขัดแย้ง อยู่ด้วยกันด้วยความนับถือ แต่หมางเมินขุ่นเคืองและอิจฉา pp.160

พ่อคือตัวตนที่เยือกเย็น เปรียบเหมือนกระจกกันกระสุนที่ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ ส่วนแม่เป็นตัวแทนความอ่อนโยนที่คอยกอดเราอย่างอบอุ่น และคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมอ pp.164

คู่ครองหลายคู่ในประเทศเกาหลี แม้จะแต่างงานกันมานับสิบปี แต่ผมชื่อว่ามีเวลาอยู่ด้วยกันไม่มากนัก หรือถึงแม้ตัวจะอยู่ใกล้กัน แต่ต่างคนต่างสนใจดูแต่ทีวี หรือไม่ก็อ่านหนังสือพิมพ์ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยา แต่เวลาพูดคุยกันยังน้อยกว่าเพื่อนร่วมงานเสียอีก pp.186

สิ่งที่สานสำพันธ์ระหว่างคู่รักที่ต้องเจอหน้ากันทุกวันไม่ใช่คำคมกินใจเหมือนในภาพยนตร์ แต่เป็นคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ว่า ขอบคุณ ขอเพียง 1 ใน 10 ของความรู้สึกที่แสดงอยู่นอกบ้าน ก็พอจะทำให้คนในครอบครัวเกิดกำลังใจ เพราะความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่ปราสาทในนิทานที่สร้างขึ้นได้ในพริบตาด้วยเวทมนตร์ pp.190

เราต้องปราศจากความอยาก แล้วสร้างความภาคภูมิใจแทน เพราะว่าคนที่ไม่ต้องการสิ่งใดจะปราศจากความกลัวทุกประเภท และจะสามารถมุ่งมั่นอยู่กับความฝันที่แท้จริงได้โดยง่าย pp.204

ขอให้คุณลองใช้สติทบทวนงานอดิเรกของตัวเอง และใคร่ครวญว่าสิ่งนั้นทำให้เราเกิดความสุขจริงๆ หรือเป็นเพียงการขโมยเวลา ถ้าประเมินแล้วว่าเป็นการขโมยเวลา ก็ขอให้หยุดและวางมือจากงานอดิเรกนั้นโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง แล้วออกตามหาความสุขอื่นที่ช่วยสร้างความสนุก และประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับชีวิตของเรา pp.218

ความลำพองใจเกินพอดีอาจส่งผลเสียใหญ่หลวงมากกว่าความถ่อมตัว เหมือนอย่างที่นักปรัชญาท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า สมัยนี้ความถ่อมตัวกลายเป็นสิ่งขาดแคลน pp.228

บางทีเราประเมินปัจจุบันของตัวเองสูงเกินไป และประเมินอนาคตของตัวเองต่ำเกินไป เราต้องตระหนักไว้ว่า การคาดคะเนไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องแม่นยำ และสำหรับคนที่มองชีวิตด้วยสายตาที่ไม่ไกลมากพอ ก็จำเป็นต้องมีข้อกำหนดในการวัดที่เที่ยงตรง ซึ่งอาจใช้ตามแนวทางชีวิตของตัวเองที่ได้วางเอาไว้ pp.234

ทุกความลาดชันกับทางลาดลง เป็นเส้นทางบนแผ่นดินเดียวกัน pp.249

Tags: ,